เด็กๆ ทุกคนก็อยากเรียนให้ได้เกรดเอๆ เอามาอวดพ่อแม่ให้ชื่นใจ เมื่อเปิดเทอมมาเด็กทุกคนก็ตั้งใจเรียน แต่พอผ่านไปสักเดือนนึงก็เริ่มแผ่ว อยากเล่นกับเพื่อนบ้าง ยังสนุกกับเกมส์อยู่เลย ก็ละครเรื่องนี้ยังไม่จบเลย หรือขี้เกียจบ้าง และอีกหลายๆ เหตุผลที่แต่ละคนจะยกมาอ้างเพื่อให้ผ่านไปในแต่ละวัน แต่สำหรับใครที่อยากเอาเกรดเอ มาฝากคุณพ่อคุณแม่อยู่ก็ไม่ยากนะคะ
1.โฟกัส หรือจุดสนใจ ก่อนที่เราจะเปิดหนังสืออ่านให้เราตั้งใจว่าวันนี้เราจะอ่านเล่มนั้น เรื่องนี้ให้จบ แล้วก็ต้องทำให้ได้ด้วย ไม่ควรอ่านหลายๆ เรื่องเพราะจะทำให้สับสน ปนเปกันไป
2.ขจัดสิ่งรบกวน เวลาอ่านหนังสือไม่ควรมีสิ่งรบกวน หรือสิ่งที่ดึงดูดความสนใจเรา เช่น เปิดทีวี หรือวิทยุทิ้งไว้ หรือ Chat กับใคร หรือเล่นเน็ต เล่นเกมส์ไปด้วย เพราะความสนใจจะถูกเบี่ยงเบน และเชื่อว่าเมื่อเวลาผ่านไปเราสามารถจำเรื่องราวของสิ่งรบกวนได้มากกว่าสาระที่เราต้องจดจำ
3.ภาพในใจ ก่อนเปิดหนังสื่อให้เราทบทวนว่าเรื่องที่เราจะอ่านคือเรื่องอะไร สำคัญกับเราอย่างไร แล้วพุ่งประเด็นไปเรื่องที่กำลังอ่านอยู่อย่างตั้งใจ เมื่ออ่านไปได้สักพักหรือจบบทแล้วให้ลองปิดหนังสือ แล้วหาปากกากระดาษเขียนในสิ่งที่เราได้อ่าน เพื่อทบทวนว่าเราจำอะไรกับเรื่องที่เราอ่านได้บ้าง อาจจะจำเป็นเรื่องราวง่ายๆ หรือจดคำที่สำคัญออกมาเพื่อให้เราจำได้
4.อย่าเครียดเกินไป ไม่หักโหมอ่านจนเกินไป ให้สมองและร่างกายได้พักบ้าง แบ่งเวลาให้ถูก ออกกำลังกาย พักผ่อนให้เีพียงพอและเลือกทานอาหารที่มีประโยชน์
5.ฝึกสมาธิเพื่อให้ใจนิ่ง ใจที่หยุดนิ่งก็เหมือนฟองน้ำที่แห้งแล้ว พร้อมจะซึมซับความรู้ใหม่ๆ ได้ตลอดเวลา
6.ให้เวลาทบทวนเรื่องที่ไม่ถนัดบ่อยๆ เพราะการอ่านผ่านตาซ้ำๆ หลายๆ ครั้งจะทำให้เราจำได้
7.เวลาในห้องเรียนสำคัญ ควรตั้งใจขณะอยู่ในห้องเรียนมากกว่ามาทบทวนเอง เพราะคุณครูจะช่วยสรุปเนื้อหาการเรียนให้เราแล้ว ดีกว่ามานั่งอ่านเองซึ่งต้องใช้เวลามาก
8.อ่านหนังสือล่วงหน้าก่อน 1 วันเพื่อให้ผ่านสายตาเราไป เมื่อคุณครูพูดในห้องเรียนเราจะได้จำได้เร็วขึ้น
9.เรียนให้สนุก ถ้าเราสนุกจากการเรียนรู้ทุก ๆ วัน เพราะความสนุกทำให้เราอยากมาเรียนและจดจำสิ่งดี ๆ
สุดท้ายแล้วหนูๆ ทุกคนอย่าลืมแบ่งเวลาดูแลงานบ้าน และให้เวลากับคนในครอบครัวด้วยนะคะ บ้านที่น่าอยู่ก็จะทำให้ครอบครัวมีความสุขมากขึ้น นอกจากจะเป็นเด็กเก่งแล้วเราต้องดีด้วย
วันจันทร์ที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2555
วันอาทิตย์ที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2555
การเลี้ยงลูกแบบไหนดี
พ่อแม่หลายคนในปัจจุบันนี้ก็ยังสับสนว่าจะเลี้ยงลูกแบบไหนดี ภาพพจน์การเลี้ยงลูกแบบคนไทย คือการลงโทษแบบไม่มีเหตุผล จนทำให้เด็กกลัว และไม่กล้าคิดทำอะไรนอกกรอบ, แบบญี่ปุ่นก็ดูจะเข้มงวดเกินไปลูกก็คงจะเครียด, หรือจะเป็นแบบเด็กฝรั่งก็กลัวลูกจะอิสระเกินไป ก็กลัวจะไม่เชื่อฟัง ก็ยังเป็นปัญหาที่น่าคิดจริงๆ ว่าเราจะเลี้ยงลูกแบบไหน เรามาลองวิเคราะห์มุมมองความจริงของการเลี้ยงลูกแต่ละประเทศกันดีว่า
การเลี้ยงลูกแบบไทย
การเลี้ยงลูกแบบไทยจริงๆ แล้วมีความอบอุ่น มีการแบ่งปัน ช่วยเหลือดูแลซึ่งกันและกัน และอยู่กันเป็นครอบครัวใหญ่ คือ ในบริเวณพื้นที่เดียวกันก็จะมีบ้านของลุง ป้า น้า อา ปู่ ย่า ตา ยาย ลูกพี่ลูกน้อง เป็นต้น แม้จะอยู่คนละบ้าน แต่ก็จะอยู่ในละแวกเดียวกัน รวมๆ กันแล้วบางครั้งก็ 20-30 คนเลยทีเดียว ทำให้รู้จักกันหมด ทำให้ต้องรู้จักช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เพราะถือว่าเป็นญาติพี่น้องกัน การถูกตีหรือการลงโทษใดๆ ก็ต่อเมื่อเป็นการดัดนิสัย เช่น ทำผิดกฏระเบียบของบ้าน หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย ซึ่งจะทำกันภายในเพื่อให้เด็กๆ ได้เรียนรู้และจดจำ ไม่ทำผิดซ้ำๆ อีก เพื่อให้หลาบจำ แต่ไม่ได้รุนแรงมาก พ่อทำงานหาเลี้ยงครอบครัวยเป็นผู้คุมกฏของบ้านและตัดสินความประพฤติของลูก สอนเรื่องต่างๆ ที่ลูกต้องใช้ในอนาคต แม่เป็นแม่บ้านดูแลเรื่องภายในบ้านและสอนให้ลูกได้รู้จักดูแลตัวเอง คอยประคับประคองและสั่งสอนกันไป ส่วนญาติพี่น้องก็จะเป็นเหมือนหูตาให้พ่อแม่ที่ไม่ได้เห็นลูกนอกบ้าน ให้อยู่ในร่องในรอย
แต่เดี๋ยวนี้เมืองไทยพ่อแม่ต้องไปทำงาน ตามสภาพเศรษฐกิจ ทำ้ให้พ่อแม่ไม่ค่อยมีเวลาดูแลอบรมลูก เลี้ยงลูกด้วยของเล่นแพงๆ ให้เล่นเกมส์เพื่อจะได้อยู่บ้านได้นาน ซึ่งผิดวิถีของการเลี้ยงลูกแบบไทยจริงๆ เด็กไทยปัจจุบันนี้ขาดการดูแลเอาใจใส่อย่างถูกวิธี ทำให้กลายเป็นเด็กที่ไม่มีความเชื่อมั่นในตัวเอง ขาดความภาคภูมิใจในตัวเอง แล้วไปแสดงออกในทางที่ผิด ดังนั้นพ่อแม่ต้องมีเวลาให้ลูกมากขึ้น สังเกตพฤติกรรม ยิ่งช่วงวัยรุ่นเป็นวัยแห่งการพลุ่งพล่านควรให้เวลาให้มากขึ้นเพื่อให้เด็กได้รู้ว่าอะไรควรทำอะไรไม่ควรทำ และควรให้เด็กได้ฝึกรับผิดชอบงานบ้าน และงานของตัวเองให้เรียบร้อย
การเลี้ยงลูกแบบญี่ปุ่น
ประเทศญี่ปุ่นเป็นประเทศแห่งการแข่งขันสูง พวกเขาให้ความสำคัญกับเด็กและเยาวชนมาก ผู้หญิงส่วนใหญ่ เมื่อรู้ว่าตนเองตั้งครรภ์ก็จะลาออกจากงาน และทุ่มเทเวลาทั้งหมดให้กับลูก เลี้ยงลูกด้วยนมแม่จนอายุ 2 ขวบ ให้เวลาเลี้ยงดูอย่างเต็มที่ หาโรงเรียนดีๆ ให้กับลูกที่จะสอนให้ลูกของเค้าอดทน เข้มแข็ง รู้จักแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง รับผิดชอบตนเอง ทำให้เด็กญี่ปุ่นมีความขยัน อดทน และพึ่งพาตัวเองได้ มีความเป็นผู้นำ กล้าคิด กล้าทำ กล้าแสดงออก และกล้าต่อสู้ปัญหาด้วยตัวเอง
การเลี้ยงลูกแบบฝรั่ง
คนอเมริกาก็จะเลี้ยงลูกให้หัดดูแลตัวเองตั้งแต่ยังเล็ก เช่น พออายุขวบครึ่งก็ให้หัดกินข้าวเอง แม้จะหกๆ เลอะๆ บ้างก็ไม่เป็นไร ถือว่าให้ลูกให้ได้ทำเอง หรือ เมื่อหกล้ม พ่อแม่ก็จะสอนให้ลูกรู้จักระมัดระวังตัวเอง จะได้ไม่เจ็บตัว เป็นต้น
ของเล่นก็จะเต้องป็นของเล่นที่เล่นตามอายุ เน้นความปลอดภัยเป็นหลัก สีที่ใช้ไม่เป็นพิษ
แต่การเลี้ยงลูกของคนอเมริกาก็มีข้อเสียหลายอย่างคือ พ่อแม่ชาวอเมริกันตามใจลูกมากเกินไปหรือเปล่า เด็กได้ทุกสิ่งที่ต้องการและแทบจะรู้จักความผิดหวังเลย เด็กอเมริกันบางคนกล้าคิดกล้าแสดงออก แต่มีอาการลองดีและพยายามหาทางที่จะออกนอกกรอบอยู่ตลอดเวลา
เมื่อเป็นอย่างนี้พ่อแม่ลองพิจารณาว่าเรามีเป้าหมายให้ลูกของเราเติบโตมาเป็นคนอย่างไร สำคัญคือพ่อแม่ต้องเป็นแบบอย่างในเรื่องคุณธรรมพื้นฐาน คือ ความซื่อสัตย์ มัธยัธถ์ และอดทน และเป็นกำลังใจให้ลูกๆ ของเขาได้เติบโตขึ้นมาอย่างอบอุ่น ให้เค้ามีความสุข มีความมั่นใจ และภาคภูมิใจในตัวเอง รู้จักวัฒนธรรม ประเพณีที่ดีงามของไทย รู้รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์
การเลี้ยงลูกแบบไทย
การเลี้ยงลูกแบบไทยจริงๆ แล้วมีความอบอุ่น มีการแบ่งปัน ช่วยเหลือดูแลซึ่งกันและกัน และอยู่กันเป็นครอบครัวใหญ่ คือ ในบริเวณพื้นที่เดียวกันก็จะมีบ้านของลุง ป้า น้า อา ปู่ ย่า ตา ยาย ลูกพี่ลูกน้อง เป็นต้น แม้จะอยู่คนละบ้าน แต่ก็จะอยู่ในละแวกเดียวกัน รวมๆ กันแล้วบางครั้งก็ 20-30 คนเลยทีเดียว ทำให้รู้จักกันหมด ทำให้ต้องรู้จักช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เพราะถือว่าเป็นญาติพี่น้องกัน การถูกตีหรือการลงโทษใดๆ ก็ต่อเมื่อเป็นการดัดนิสัย เช่น ทำผิดกฏระเบียบของบ้าน หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย ซึ่งจะทำกันภายในเพื่อให้เด็กๆ ได้เรียนรู้และจดจำ ไม่ทำผิดซ้ำๆ อีก เพื่อให้หลาบจำ แต่ไม่ได้รุนแรงมาก พ่อทำงานหาเลี้ยงครอบครัวยเป็นผู้คุมกฏของบ้านและตัดสินความประพฤติของลูก สอนเรื่องต่างๆ ที่ลูกต้องใช้ในอนาคต แม่เป็นแม่บ้านดูแลเรื่องภายในบ้านและสอนให้ลูกได้รู้จักดูแลตัวเอง คอยประคับประคองและสั่งสอนกันไป ส่วนญาติพี่น้องก็จะเป็นเหมือนหูตาให้พ่อแม่ที่ไม่ได้เห็นลูกนอกบ้าน ให้อยู่ในร่องในรอย
แต่เดี๋ยวนี้เมืองไทยพ่อแม่ต้องไปทำงาน ตามสภาพเศรษฐกิจ ทำ้ให้พ่อแม่ไม่ค่อยมีเวลาดูแลอบรมลูก เลี้ยงลูกด้วยของเล่นแพงๆ ให้เล่นเกมส์เพื่อจะได้อยู่บ้านได้นาน ซึ่งผิดวิถีของการเลี้ยงลูกแบบไทยจริงๆ เด็กไทยปัจจุบันนี้ขาดการดูแลเอาใจใส่อย่างถูกวิธี ทำให้กลายเป็นเด็กที่ไม่มีความเชื่อมั่นในตัวเอง ขาดความภาคภูมิใจในตัวเอง แล้วไปแสดงออกในทางที่ผิด ดังนั้นพ่อแม่ต้องมีเวลาให้ลูกมากขึ้น สังเกตพฤติกรรม ยิ่งช่วงวัยรุ่นเป็นวัยแห่งการพลุ่งพล่านควรให้เวลาให้มากขึ้นเพื่อให้เด็กได้รู้ว่าอะไรควรทำอะไรไม่ควรทำ และควรให้เด็กได้ฝึกรับผิดชอบงานบ้าน และงานของตัวเองให้เรียบร้อย
การเลี้ยงลูกแบบญี่ปุ่น
ประเทศญี่ปุ่นเป็นประเทศแห่งการแข่งขันสูง พวกเขาให้ความสำคัญกับเด็กและเยาวชนมาก ผู้หญิงส่วนใหญ่ เมื่อรู้ว่าตนเองตั้งครรภ์ก็จะลาออกจากงาน และทุ่มเทเวลาทั้งหมดให้กับลูก เลี้ยงลูกด้วยนมแม่จนอายุ 2 ขวบ ให้เวลาเลี้ยงดูอย่างเต็มที่ หาโรงเรียนดีๆ ให้กับลูกที่จะสอนให้ลูกของเค้าอดทน เข้มแข็ง รู้จักแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง รับผิดชอบตนเอง ทำให้เด็กญี่ปุ่นมีความขยัน อดทน และพึ่งพาตัวเองได้ มีความเป็นผู้นำ กล้าคิด กล้าทำ กล้าแสดงออก และกล้าต่อสู้ปัญหาด้วยตัวเอง
การเลี้ยงลูกแบบฝรั่ง
คนอเมริกาก็จะเลี้ยงลูกให้หัดดูแลตัวเองตั้งแต่ยังเล็ก เช่น พออายุขวบครึ่งก็ให้หัดกินข้าวเอง แม้จะหกๆ เลอะๆ บ้างก็ไม่เป็นไร ถือว่าให้ลูกให้ได้ทำเอง หรือ เมื่อหกล้ม พ่อแม่ก็จะสอนให้ลูกรู้จักระมัดระวังตัวเอง จะได้ไม่เจ็บตัว เป็นต้น
ของเล่นก็จะเต้องป็นของเล่นที่เล่นตามอายุ เน้นความปลอดภัยเป็นหลัก สีที่ใช้ไม่เป็นพิษ
แต่การเลี้ยงลูกของคนอเมริกาก็มีข้อเสียหลายอย่างคือ พ่อแม่ชาวอเมริกันตามใจลูกมากเกินไปหรือเปล่า เด็กได้ทุกสิ่งที่ต้องการและแทบจะรู้จักความผิดหวังเลย เด็กอเมริกันบางคนกล้าคิดกล้าแสดงออก แต่มีอาการลองดีและพยายามหาทางที่จะออกนอกกรอบอยู่ตลอดเวลา
เมื่อเป็นอย่างนี้พ่อแม่ลองพิจารณาว่าเรามีเป้าหมายให้ลูกของเราเติบโตมาเป็นคนอย่างไร สำคัญคือพ่อแม่ต้องเป็นแบบอย่างในเรื่องคุณธรรมพื้นฐาน คือ ความซื่อสัตย์ มัธยัธถ์ และอดทน และเป็นกำลังใจให้ลูกๆ ของเขาได้เติบโตขึ้นมาอย่างอบอุ่น ให้เค้ามีความสุข มีความมั่นใจ และภาคภูมิใจในตัวเอง รู้จักวัฒนธรรม ประเพณีที่ดีงามของไทย รู้รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์
วันพฤหัสบดีที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2555
การเลี้ยงลูกแบบญี่ปุ่น (3)
ในเมืองไทยตั้งแต่สมัยเด็กเมื่อ 20 ปีที่ผ่านมา หรือแม้ปัจจุบันก็จะเห็นพ่อแม่หลายๆคนช่วยลูกถือกระเป๋า ช่วยใส่เสื้อผ้า ถุงเท้า รองเท้า หรือแทบจะทุกอย่างเลยก็ว่าได้ อาจจะด้วยความรำคาญที่เด็กๆ ทำอะไรช้า หรือ ความสงสารที่ลูกจะไม่ทันคนอื่น แต่สิ่งเหล่านี้กลับทำลายโอกาสในการฝึกนิสัยของลูกให้รู้จักความรับผิดชอบต่อตัวเอง เพราะเด็กๆ ทุกคนล้วนมีศักยภาพในการพัฒนาแม้จะต้องใช้เวลาอยู่บ้าง แต่เมื่อเค้าทำได้ในสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ก็จะกลายเป็นความภาคภูมิใจ และกลายเป็นความเชื่อมั่นในตัวเองในที่สุด
ที่ญี่ปุ่นเราจะเห็นภาพเวลาพ่อแม่หรือปู่ย่าตายายไปส่งลูกที่โรงเรียน ผู้ใหญ่จะเดินมือเปล่า เด็กจะถือกระเป๋าเอง จนชินตา (ในบทความที่แล้วในกระเป๋าใบใหญ่จะมีกระเป๋าใบเล็กซ้อนกันอยู่ไม่ต่ำกว่า 5 ใบ มีทั้งหนังสือ เสื้อผ้า รองเท้าและอื่นๆ อีก)แม้สัมภาระจะหนักอึ้งแต่เด็กๆ ก็ยังวิ่งได้ฉิว ด้วยพละกำลังเต็มร้อย เรื่องนี้ที่ญี่ปุ่นเค้าทำกันทุกคน ไม่เลือกชนชั้น แม้แต่ระดับชั้นราชวงศ์ ยุวบุตร ยุวธิดา ทุกพระองค์ก็ต้องทรงถือกระเป๋าเองเช่นกัน ไม่ว่าแดดออกหรือฝนตก อย่างไม่เกี่ยงงอนหรือถือพระองค์เลย
เรื่องการแต่งกายก็ถอดเปลี่ยนตามเวลาโรงเรียนอนุบาลมีเครื่องแบบเปลี่ยนตามฤดูกาล คลอดทั้งปีต้องใส่เสื้อสวมหัว สวมหมวก เมื่อไปถึงโรงเรียน ก็ถอดเสื้อสวมหัว เปลี่ยนเป็นเสื้อเล่น รองเท้าเปลี่ยนเป็นรองเท้าบาเลต์สีขาว ถ้าเล่นกีฬาก็เปลี่ยนรองเท้าอีกแบบ หลังจากนอนพักกลางวัน ตื่นขึ้นมาต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ ทั้งนี้เพื่อให้ร่างกายสะอาด สดชื่นตลอดเวลา และรู้จักกาลเทศะว่าเวลานี้ควรทำอะไร ไม่ควรทำอะไร
หากประเทศเราได้นำเรื่องการฝึกนี้มาใช้ให้เหมาะสม ก็จะทำให้เด็กๆ ได้ฝึกความรับผิดชอบเล็กๆ น้อยๆ จากการดูแลข้าวของของตัวเองแล้วค่อยๆ พัฒนาเป็นความรับผิดชอบต่อครอบครัวและสังคมต่อไป
ที่ญี่ปุ่นเราจะเห็นภาพเวลาพ่อแม่หรือปู่ย่าตายายไปส่งลูกที่โรงเรียน ผู้ใหญ่จะเดินมือเปล่า เด็กจะถือกระเป๋าเอง จนชินตา (ในบทความที่แล้วในกระเป๋าใบใหญ่จะมีกระเป๋าใบเล็กซ้อนกันอยู่ไม่ต่ำกว่า 5 ใบ มีทั้งหนังสือ เสื้อผ้า รองเท้าและอื่นๆ อีก)แม้สัมภาระจะหนักอึ้งแต่เด็กๆ ก็ยังวิ่งได้ฉิว ด้วยพละกำลังเต็มร้อย เรื่องนี้ที่ญี่ปุ่นเค้าทำกันทุกคน ไม่เลือกชนชั้น แม้แต่ระดับชั้นราชวงศ์ ยุวบุตร ยุวธิดา ทุกพระองค์ก็ต้องทรงถือกระเป๋าเองเช่นกัน ไม่ว่าแดดออกหรือฝนตก อย่างไม่เกี่ยงงอนหรือถือพระองค์เลย
เรื่องการแต่งกายก็ถอดเปลี่ยนตามเวลาโรงเรียนอนุบาลมีเครื่องแบบเปลี่ยนตามฤดูกาล คลอดทั้งปีต้องใส่เสื้อสวมหัว สวมหมวก เมื่อไปถึงโรงเรียน ก็ถอดเสื้อสวมหัว เปลี่ยนเป็นเสื้อเล่น รองเท้าเปลี่ยนเป็นรองเท้าบาเลต์สีขาว ถ้าเล่นกีฬาก็เปลี่ยนรองเท้าอีกแบบ หลังจากนอนพักกลางวัน ตื่นขึ้นมาต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ ทั้งนี้เพื่อให้ร่างกายสะอาด สดชื่นตลอดเวลา และรู้จักกาลเทศะว่าเวลานี้ควรทำอะไร ไม่ควรทำอะไร
หากประเทศเราได้นำเรื่องการฝึกนี้มาใช้ให้เหมาะสม ก็จะทำให้เด็กๆ ได้ฝึกความรับผิดชอบเล็กๆ น้อยๆ จากการดูแลข้าวของของตัวเองแล้วค่อยๆ พัฒนาเป็นความรับผิดชอบต่อครอบครัวและสังคมต่อไป
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)