วันพฤหัสบดีที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

หัดลูกรักให้ทานผัก

   เด็กๆ หลายคนไม่ทานผัก หรือทานผักไม่เป็น ด้วยเพราะกินเฉพาะของผักที่ทำให้ลูกไม่คุ้นเคย หรืออาจเป็นนิสัยที่ไม่กินผัก บางคนคิดว่าลูกไม่กินผัก เวลาสั่งอาหารตามร้านก็จะไม่ใส่ผักให้เพราะคิดว่าเด็กไม่กินผักจะเสียของ เมื่อโตมาเป็นผู้ใหญ่ก็ติดนิสัยไม่ทานผักชนิดนั้นๆ ไปด้วย ตัวอย่าง ก๋วยเตี๋ยวไม่ใส่ผัก ไม่ใส่ถั่วงอก หรือราดหน้าไม่ใส่ผักอะไรแบบนี้
   ถ้าบ้านไหนที่คุณแม่บ้านทำอาหารเอง ส่วนใหญ่เด็กจะทานเพราะคุ้นเึคยและทานง่าย กว่าอาหารที่สั่งตามร้าน และวิธีการทำอาหารเพื่อเด็กก็ใส่ใจมากกว่า ด้วยกลเม็ดเด็ดพราย เช่น การหั่นผักให้ละเอียด ใส่หลายๆ ชนิดเข้าด้วยกัน หรือการบดเพื่อให้ผักเข้ากับเนื้อต่างๆ เมื่อได้เป็นอาหารแล้วเด็กจะทานง่าย และเมื่อคุ้นกลิ่นผักแล้ว เมื่อทำเป็นอาหารสำหรับผู้ใหญ่ ลูกๆ ก็จะทานได้ เด็กที่ได้ทานผัก ผลไม้ จะได้รับวิตามินและเกลือแร่ และสารอาหารครบถ้วน
   แต่ละบ้าน แต่ละภาค ก็มีผักต่างๆ หลายชนิด เด็กท้องถิ่นภาคอีสานส่วนใหญ่จะทานผักเก่ง ได้หลายอย่าง เพราะอาหารส่วนใหญ่ค่อนข้างเค็ม และเผ็ด ทำให้ต้องทานคู่กับผักจึงจะทานได้ ทำให้เด็กๆ ทานผักเก่ง ได้หลายประเภท ได้รับสารอาหารหลากหลาย ทำให้แม้จะผอม ตัวเล็ก แต่ก็แข็งแรง สำหรับเด็กในเมืองที่อาหารส่วนใหญ่จะได้มาจากตลาดที่มีผักไม่กี่อย่าง ก็จะได้ทานผักชนิดเดิมซ้ำๆ ถ้าผักนั้นล้างไม่สะอาดมีสารพิษตกค้าง เด็กๆ จะได้รับสารพิษเดิมๆ ซ้ำ ทำให้ป่วยได้ง่าย
   ดังนั้นควรหาผักหลายๆ ชนิดให้ลูกได้หัดทาน และควรล้างให้สะอาด เพื่อสุขภาพที่ดีของลูกคุณ

วันอังคารที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

รักลูก สอนลูกให้รักนวลสงวนตัว

    พ่อแม่หลายคนกลุ้มใจเมื่อเด็กเข้าสู่วัยรุ่นแล้ว คือเด็กมีพฤติกรรมเปลี่ยนแปลงหลายๆ อย่าง ตั้งแต่ไม่เชื่อฟัง อยากรู้ อยากลอง คบเพื่อน ไม่ค่อยอยู่กับบ้าน หรือชอบอยู่คนเดียวในห้อง อีกปัญหาหนึ่งที่เป็นปัญหาใหญ่ของสังคมคือ การท้องก่อนแต่ง หรือท้องระหว่างการศึกษา พ่อแม่โทษเด็ก เด็กโทษผู้ใหญ่ โทษสังคม การโทษกันไปมาไม่ใช่การแก้ปัญหา แต่กลับจะเพิ่มปัญหาให้มากขึ้น แม้จะเปลี่ยนกฏหมายก็ยังเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ
   วิธีที่ดีที่สุด เริ่มจากจุดที่เล็กที่สุด คือ ครอบครัวของคุณเอง ป้องกันดีกว่าแก้ไข เริ่มต้นวันนี้ดีกว่าแก้ไขวันหน้า ลองดูวิธีที่จะช่วยป้องกันและสร้างภูมิคุ้มกันภัยให้กับลูกของคุณ
   1. ทำบ้านให้สะอาด น่าอยู่ ไม่รกรุงรัง จัดข้าวของให้เป็นระเบียบ ไม่มีมุมอับมุมทึบ ตั้งแต่ห้องน้ำ ห้องนอน ห้องนั่งเล่น ห้องพระ จัดให้ดูสบายตา มีข้าวของพอที่เราใช้ เพราะบ้านที่สะอาดก็เหมือนบ้านใหม่เสมอใครๆ ก็อยากเข้า อยากใช้
   2. ควรมีการประชุมสมาชิกในบ้านอยู่เป็นประจำ อาจเป็นการทานข้าวเย็นร่วมกัน เป็นการสร้างความอบอุ่น และเมื่อมีปัญหาอะไรจะได้รู้และช่วยกันดูแลแก้ไข เช่น ลูกทะเลาะกัน พ่อแม่จะได้รู้ว่าทะเลาะกันเรื่องอะไร จะแก้ปัญหาอย่างไร จะหาแนวทางการสร้างความรักความสามัคคีอย่่างไร
   3. แบ่งหน้าที่ให้ทุกคนในบ้าน เพื่อฝึกความรับผิดชอบ แบ่งหมุนเวียนกันไป ตั้งแต่ การขัดห้องน้ำ ซักผ้า ล้างจาน กวาดบ้าน ถูบ้าน จัดเก็บข้าวของให้เป็นระเบียบ
   4. ในวันหยุดควรมีกิจกรรมที่ทำร่วมกัน เช่น ไปวัดทำบุญ เยี่ยมผู้ใหญ่ ดูแลสวน เลี้ยงเด็กอ่อน สลับเปลี่ยนหมุนเวียนอย่างสร้างสรรค์ เพื่อให้เค้าได้รู้จักสังคมที่ดีๆ
   5. ให้ลูกพาเพื่อนมาเล่นที่บ้านได้เป็นครั้งคราว เพื่อจะได้รู้ว่าเพื่อนของลูกเป็นคนอย่างไรและช่วยคัดกรอง แนะนำการคบเพื่อนให้ลูก อาจมีกิจกรรมเล็ก จัดที่ห้องนั่งเล่น
   6. แนะนำให้ลูกเข้าใจว่าห้องนอนเป็นที่ส่วนตัว ไม่ควรให้เพื่อนผู้ชายมาอยู่ในห้องสองต่อสอง แม้พ่อแม่ไม่อยู่ก็ไม่ควรทำ
   7. เมื่อลูกมีปัญหา ให้ถือโอกาสที่คุณจะได้เข้าไปพูดคุยถึงปัญหา และช่วยหาทางแก้ไขปัญหาให้ลูกของคุณ อย่าให้ลูกต้องเิผชิญปัญหาหรือแก้ปัญหาแต่เพียงผู้เดียว ให้ลูกรู้ว่าเค้ายังมีแม่หรือพ่ออยู่เป็นกำลังใจและเป็นที่ปรึกษาช่วยแนะนำสิ่งต่างๆ ให้ลูกได้
   8. สอนให้ลูกได้รู้จักการทำบุญ ทำทาน รักษาศีล และนั่งสมาธิ เป็นประจำ เพราะเราคนไทยโชคดีที่ยังมีพระพุทธศาสนาที่จะช่วยให้จิตใจของเราสดชื่น รู้จักการให้ การแบ่งปัน การอดทนอดกลั้น และรู้จักยับยั้งชั่งใจ

การเลี้ยงลูกควรให้เวลา ให้ความรัก ความเข้าใจ ให้กำลังใจ เพื่อให้เค้าก้าวเข้าไปสู่สังคมอย่างกล้าหาญ มีภูมิคุ้มกันจากภัยต่างๆ รอบตัว ได้ด้วยตัวเอง

วันจันทร์ที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

เกรดเอเราก็ทำได้

   เด็กๆ ทุกคนก็อยากเรียนให้ได้เกรดเอๆ เอามาอวดพ่อแม่ให้ชื่นใจ เมื่อเปิดเทอมมาเด็กทุกคนก็ตั้งใจเรียน แต่พอผ่านไปสักเดือนนึงก็เริ่มแผ่ว อยากเล่นกับเพื่อนบ้าง ยังสนุกกับเกมส์อยู่เลย ก็ละครเรื่องนี้ยังไม่จบเลย หรือขี้เกียจบ้าง และอีกหลายๆ เหตุผลที่แต่ละคนจะยกมาอ้างเพื่อให้ผ่านไปในแต่ละวัน แต่สำหรับใครที่อยากเอาเกรดเอ มาฝากคุณพ่อคุณแม่อยู่ก็ไม่ยากนะคะ
   1.โฟกัส หรือจุดสนใจ ก่อนที่เราจะเปิดหนังสืออ่านให้เราตั้งใจว่าวันนี้เราจะอ่านเล่มนั้น เรื่องนี้ให้จบ แล้วก็ต้องทำให้ได้ด้วย ไม่ควรอ่านหลายๆ เรื่องเพราะจะทำให้สับสน ปนเปกันไป
   2.ขจัดสิ่งรบกวน เวลาอ่านหนังสือไม่ควรมีสิ่งรบกวน หรือสิ่งที่ดึงดูดความสนใจเรา เช่น เปิดทีวี หรือวิทยุทิ้งไว้ หรือ Chat กับใคร หรือเล่นเน็ต เล่นเกมส์ไปด้วย เพราะความสนใจจะถูกเบี่ยงเบน และเชื่อว่าเมื่อเวลาผ่านไปเราสามารถจำเรื่องราวของสิ่งรบกวนได้มากกว่าสาระที่เราต้องจดจำ
   3.ภาพในใจ ก่อนเปิดหนังสื่อให้เราทบทวนว่าเรื่องที่เราจะอ่านคือเรื่องอะไร สำคัญกับเราอย่างไร แล้วพุ่งประเด็นไปเรื่องที่กำลังอ่านอยู่อย่างตั้งใจ เมื่ออ่านไปได้สักพักหรือจบบทแล้วให้ลองปิดหนังสือ แล้วหาปากกากระดาษเขียนในสิ่งที่เราได้อ่าน เพื่อทบทวนว่าเราจำอะไรกับเรื่องที่เราอ่านได้บ้าง อาจจะจำเป็นเรื่องราวง่ายๆ หรือจดคำที่สำคัญออกมาเพื่อให้เราจำได้
   4.อย่าเครียดเกินไป ไม่หักโหมอ่านจนเกินไป ให้สมองและร่างกายได้พักบ้าง แบ่งเวลาให้ถูก ออกกำลังกาย พักผ่อนให้เีพียงพอและเลือกทานอาหารที่มีประโยชน์
   5.ฝึกสมาธิเพื่อให้ใจนิ่ง ใจที่หยุดนิ่งก็เหมือนฟองน้ำที่แห้งแล้ว พร้อมจะซึมซับความรู้ใหม่ๆ ได้ตลอดเวลา
   6.ให้เวลาทบทวนเรื่องที่ไม่ถนัดบ่อยๆ เพราะการอ่านผ่านตาซ้ำๆ หลายๆ ครั้งจะทำให้เราจำได้
   7.เวลาในห้องเรียนสำคัญ ควรตั้งใจขณะอยู่ในห้องเรียนมากกว่ามาทบทวนเอง เพราะคุณครูจะช่วยสรุปเนื้อหาการเรียนให้เราแล้ว ดีกว่ามานั่งอ่านเองซึ่งต้องใช้เวลามาก
   8.อ่านหนังสือล่วงหน้าก่อน 1 วันเพื่อให้ผ่านสายตาเราไป เมื่อคุณครูพูดในห้องเรียนเราจะได้จำได้เร็วขึ้น
   9.เรียนให้สนุก ถ้าเราสนุกจากการเรียนรู้ทุก ๆ วัน เพราะความสนุกทำให้เราอยากมาเรียนและจดจำสิ่งดี ๆ

สุดท้ายแล้วหนูๆ ทุกคนอย่าลืมแบ่งเวลาดูแลงานบ้าน และให้เวลากับคนในครอบครัวด้วยนะคะ บ้านที่น่าอยู่ก็จะทำให้ครอบครัวมีความสุขมากขึ้น นอกจากจะเป็นเด็กเก่งแล้วเราต้องดีด้วย

วันอาทิตย์ที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

การเลี้ยงลูกแบบไหนดี

    พ่อแม่หลายคนในปัจจุบันนี้ก็ยังสับสนว่าจะเลี้ยงลูกแบบไหนดี ภาพพจน์การเลี้ยงลูกแบบคนไทย คือการลงโทษแบบไม่มีเหตุผล จนทำให้เด็กกลัว และไม่กล้าคิดทำอะไรนอกกรอบ, แบบญี่ปุ่นก็ดูจะเข้มงวดเกินไปลูกก็คงจะเครียด, หรือจะเป็นแบบเด็กฝรั่งก็กลัวลูกจะอิสระเกินไป ก็กลัวจะไม่เชื่อฟัง ก็ยังเป็นปัญหาที่น่าคิดจริงๆ ว่าเราจะเลี้ยงลูกแบบไหน เรามาลองวิเคราะห์มุมมองความจริงของการเลี้ยงลูกแต่ละประเทศกันดีว่า

การเลี้ยงลูกแบบไทย
    การเลี้ยงลูกแบบไทยจริงๆ แล้วมีความอบอุ่น มีการแบ่งปัน ช่วยเหลือดูแลซึ่งกันและกัน และอยู่กันเป็นครอบครัวใหญ่ คือ ในบริเวณพื้นที่เดียวกันก็จะมีบ้านของลุง ป้า น้า อา ปู่ ย่า ตา ยาย ลูกพี่ลูกน้อง เป็นต้น แม้จะอยู่คนละบ้าน แต่ก็จะอยู่ในละแวกเดียวกัน รวมๆ กันแล้วบางครั้งก็ 20-30 คนเลยทีเดียว   ทำให้รู้จักกันหมด ทำให้ต้องรู้จักช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เพราะถือว่าเป็นญาติพี่น้องกัน การถูกตีหรือการลงโทษใดๆ ก็ต่อเมื่อเป็นการดัดนิสัย เช่น ทำผิดกฏระเบียบของบ้าน หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย ซึ่งจะทำกันภายในเพื่อให้เด็กๆ ได้เรียนรู้และจดจำ ไม่ทำผิดซ้ำๆ อีก เพื่อให้หลาบจำ แต่ไม่ได้รุนแรงมาก พ่อทำงานหาเลี้ยงครอบครัวยเป็นผู้คุมกฏของบ้านและตัดสินความประพฤติของลูก สอนเรื่องต่างๆ ที่ลูกต้องใช้ในอนาคต แม่เป็นแม่บ้านดูแลเรื่องภายในบ้านและสอนให้ลูกได้รู้จักดูแลตัวเอง คอยประคับประคองและสั่งสอนกันไป ส่วนญาติพี่น้องก็จะเป็นเหมือนหูตาให้พ่อแม่ที่ไม่ได้เห็นลูกนอกบ้าน ให้อยู่ในร่องในรอย
   แต่เดี๋ยวนี้เมืองไทยพ่อแม่ต้องไปทำงาน ตามสภาพเศรษฐกิจ ทำ้ให้พ่อแม่ไม่ค่อยมีเวลาดูแลอบรมลูก เลี้ยงลูกด้วยของเล่นแพงๆ ให้เล่นเกมส์เพื่อจะได้อยู่บ้านได้นาน ซึ่งผิดวิถีของการเลี้ยงลูกแบบไทยจริงๆ เด็กไทยปัจจุบันนี้ขาดการดูแลเอาใจใส่อย่างถูกวิธี ทำให้กลายเป็นเด็กที่ไม่มีความเชื่อมั่นในตัวเอง ขาดความภาคภูมิใจในตัวเอง แล้วไปแสดงออกในทางที่ผิด ดังนั้นพ่อแม่ต้องมีเวลาให้ลูกมากขึ้น สังเกตพฤติกรรม ยิ่งช่วงวัยรุ่นเป็นวัยแห่งการพลุ่งพล่านควรให้เวลาให้มากขึ้นเพื่อให้เด็กได้รู้ว่าอะไรควรทำอะไรไม่ควรทำ และควรให้เด็กได้ฝึกรับผิดชอบงานบ้าน และงานของตัวเองให้เรียบร้อย

การเลี้ยงลูกแบบญี่ปุ่น
   ประเทศญี่ปุ่นเป็นประเทศแห่งการแข่งขันสูง พวกเขาให้ความสำคัญกับเด็กและเยาวชนมาก ผู้หญิงส่วนใหญ่ เมื่อรู้ว่าตนเองตั้งครรภ์ก็จะลาออกจากงาน และทุ่มเทเวลาทั้งหมดให้กับลูก เลี้ยงลูกด้วยนมแม่จนอายุ 2 ขวบ ให้เวลาเลี้ยงดูอย่างเต็มที่ หาโรงเรียนดีๆ ให้กับลูกที่จะสอนให้ลูกของเค้าอดทน เข้มแข็ง รู้จักแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง รับผิดชอบตนเอง ทำให้เด็กญี่ปุ่นมีความขยัน อดทน และพึ่งพาตัวเองได้ มีความเป็นผู้นำ กล้าคิด กล้าทำ กล้าแสดงออก และกล้าต่อสู้ปัญหาด้วยตัวเอง

การเลี้ยงลูกแบบฝรั่ง
   คนอเมริกาก็จะเลี้ยงลูกให้หัดดูแลตัวเองตั้งแต่ยังเล็ก เช่น พออายุขวบครึ่งก็ให้หัดกินข้าวเอง แม้จะหกๆ เลอะๆ บ้างก็ไม่เป็นไร ถือว่าให้ลูกให้ได้ทำเอง หรือ เมื่อหกล้ม พ่อแม่ก็จะสอนให้ลูกรู้จักระมัดระวังตัวเอง จะได้ไม่เจ็บตัว เป็นต้น
   ของเล่นก็จะเต้องป็นของเล่นที่เล่นตามอายุ เน้นความปลอดภัยเป็นหลัก สีที่ใช้ไม่เป็นพิษ
   แต่การเลี้ยงลูกของคนอเมริกาก็มีข้อเสียหลายอย่างคือ พ่อแม่ชาวอเมริกันตามใจลูกมากเกินไปหรือเปล่า เด็กได้ทุกสิ่งที่ต้องการและแทบจะรู้จักความผิดหวังเลย เด็กอเมริกันบางคนกล้าคิดกล้าแสดงออก แต่มีอาการลองดีและพยายามหาทางที่จะออกนอกกรอบอยู่ตลอดเวลา


เมื่อเป็นอย่างนี้พ่อแม่ลองพิจารณาว่าเรามีเป้าหมายให้ลูกของเราเติบโตมาเป็นคนอย่างไร สำคัญคือพ่อแม่ต้องเป็นแบบอย่างในเรื่องคุณธรรมพื้นฐาน คือ ความซื่อสัตย์ มัธยัธถ์ และอดทน และเป็นกำลังใจให้ลูกๆ ของเขาได้เติบโตขึ้นมาอย่างอบอุ่น ให้เค้ามีความสุข มีความมั่นใจ และภาคภูมิใจในตัวเอง รู้จักวัฒนธรรม ประเพณีที่ดีงามของไทย รู้รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ 

วันพฤหัสบดีที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

การเลี้ยงลูกแบบญี่ปุ่น (3)

    ในเมืองไทยตั้งแต่สมัยเด็กเมื่อ 20 ปีที่ผ่านมา หรือแม้ปัจจุบันก็จะเห็นพ่อแม่หลายๆคนช่วยลูกถือกระเป๋า ช่วยใส่เสื้อผ้า ถุงเท้า รองเท้า หรือแทบจะทุกอย่างเลยก็ว่าได้ อาจจะด้วยความรำคาญที่เด็กๆ ทำอะไรช้า หรือ ความสงสารที่ลูกจะไม่ทันคนอื่น แต่สิ่งเหล่านี้กลับทำลายโอกาสในการฝึกนิสัยของลูกให้รู้จักความรับผิดชอบต่อตัวเอง เพราะเด็กๆ ทุกคนล้วนมีศักยภาพในการพัฒนาแม้จะต้องใช้เวลาอยู่บ้าง แต่เมื่อเค้าทำได้ในสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ก็จะกลายเป็นความภาคภูมิใจ และกลายเป็นความเชื่อมั่นในตัวเองในที่สุด
    ที่ญี่ปุ่นเราจะเห็นภาพเวลาพ่อแม่หรือปู่ย่าตายายไปส่งลูกที่โรงเรียน ผู้ใหญ่จะเดินมือเปล่า เด็กจะถือกระเป๋าเอง จนชินตา (ในบทความที่แล้วในกระเป๋าใบใหญ่จะมีกระเป๋าใบเล็กซ้อนกันอยู่ไม่ต่ำกว่า 5 ใบ มีทั้งหนังสือ เสื้อผ้า รองเท้าและอื่นๆ อีก)แม้สัมภาระจะหนักอึ้งแต่เด็กๆ ก็ยังวิ่งได้ฉิว ด้วยพละกำลังเต็มร้อย เรื่องนี้ที่ญี่ปุ่นเค้าทำกันทุกคน ไม่เลือกชนชั้น แม้แต่ระดับชั้นราชวงศ์ ยุวบุตร ยุวธิดา ทุกพระองค์ก็ต้องทรงถือกระเป๋าเองเช่นกัน ไม่ว่าแดดออกหรือฝนตก อย่างไม่เกี่ยงงอนหรือถือพระองค์เลย
     เรื่องการแต่งกายก็ถอดเปลี่ยนตามเวลาโรงเรียนอนุบาลมีเครื่องแบบเปลี่ยนตามฤดูกาล คลอดทั้งปีต้องใส่เสื้อสวมหัว สวมหมวก เมื่อไปถึงโรงเรียน ก็ถอดเสื้อสวมหัว เปลี่ยนเป็นเสื้อเล่น รองเท้าเปลี่ยนเป็นรองเท้าบาเลต์สีขาว ถ้าเล่นกีฬาก็เปลี่ยนรองเท้าอีกแบบ หลังจากนอนพักกลางวัน ตื่นขึ้นมาต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ ทั้งนี้เพื่อให้ร่างกายสะอาด สดชื่นตลอดเวลา และรู้จักกาลเทศะว่าเวลานี้ควรทำอะไร ไม่ควรทำอะไร
    หากประเทศเราได้นำเรื่องการฝึกนี้มาใช้ให้เหมาะสม ก็จะทำให้เด็กๆ ได้ฝึกความรับผิดชอบเล็กๆ น้อยๆ จากการดูแลข้าวของของตัวเองแล้วค่อยๆ พัฒนาเป็นความรับผิดชอบต่อครอบครัวและสังคมต่อไป

วันอังคารที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

การเลี้ยงลูกแบบญี่ปุ่น (2)

     มีหลายคนถามว่าทำไมถึงพูดคุยกันแต่ประเทศญี่ปุ่นอย่างเดียวหล่ะ ประเทศอื่นๆ หรืออย่างประเทศไทยมีการเรียนอากรสอนไม่ดีตรงไหนกัน ?
     ในที่นี้ที่ขอยกตัวอย่างญี่ปุ่นเพราะประเทศญี่ปุ่นเป็นประเทศที่ได้ชื่อว่าเจอภัยภิบัติต่างๆ มากมายทั้งแผ่นดินไหว สึนามิ หรือแม้แต่โดนระเบิดปรมนูพังไป แต่ประเทศญี่ปุ่นกลับฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็วจนก้าวมาเป็นผู้นำทางเศรษฐกิจโลกในระเวลาเพียงไม่ถึง 30 ปี ด้วยเหตุนี้ทำให้เป็นที่สนใจว่าเค้าทำอย่างไร จนได้ไปเห็นถึงระบบการศึกษาในการขัดเกลา หล่อหลอมบุคลากรทั้งประเทศให้มีธาตุทรหด ความอดทนสูง ควบคู่ไปกับการศึกษา โดยได้รับความสนับสนุนจากทั้งภาครัฐและเอกชน ความเสียสละของทุกหมู่บ้าน ทุกครัวเรือน ยอมสละให้บุตรหลานของตัวต้องโดนเคี่ยวเข็ญอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เริ่มคลานได้เลยทีเดียว แม้จะปริปากบ่นกันบ้าง แต่พ่อแม่ก็ยังเต็มใจ เต็มที่ในการฝึกฝนเด็กๆ ของพวกเขาให้แข็งแกร่ง ด้วยรู้ว่าประเทศของตนตั้งอยู่ในแนวเขตแผ่นดินไหว และสึนามิ ดังนั้นการฝึกให้มีความพร้อมอยู่เสมอจึงเป็นเรื่องสำคัญ การได้เรียนรู้จากประเทศที่ประสบความสำเร็จแล้วก็ดีกว่าต้องมาลองผิดลองถูกกัน เป็นกำลังใจในการพัฒนาตัวเองดีด้วย เพราะอาจจะต้องใช้เวลาเป็นสิบๆปี ดังนั้นให้นำความรู้ที่เป็นประโยชน์นำมาใช้อย่างเต็มที่เก็บเกี่ยวสิ่งดีๆ ไว้ สิ่งใดที่ไม่ดีไม่เจริญ ขัดกับศีลธรรมเราก็ไม่นำมา สำหรับเมืองไทยข้อดีข้อเด่นของเราคือความอุดมสมบูรณ์ในการบริโภค การมีประเพณี วัฒนธรรมที่บรรพชนให้มา การมีวัดวาอารามมีพระผู้ปฏิบัติปฏิบัติชอบซึ่งเป็นต้นแบบให้เราอย่างมากมาย คุณครูผู้ทุ่มเทเสียสละก็มีมาก ดังนั้นหากให้เด็กไทยได้เรียนรู้และพัฒนาสิ่งเหล่านี้ความรู้ ความดีงามก็จะยังคงอยู่คู่ประเทศไทยต่อไป ดีกว่าไปหลงกับโลก cyber , ผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปต่างๆ หรือหลงมั่วเมาไปกับสิ่งเสพติด ซึ่งมีแต่ทำลายตัวเรา ครอบครัว และประเทศชาติ
การเลี้ยงลูกจึงไม่เพียงแต่เลี้ยงร่างกายให้เค้าเติบโตแข็งแรง มีสุขภาพกายทีดีแล้ว ต้องเสริมสร้างพัฒนานิสัยต่างๆ ด้วยเพื่อให้ลูกของเราเป็นทั้งคนเก่งและคนดีมีความสุข

วันจันทร์ที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

โรงเรียนอนุบาลญี่ปุ่น (1)



     ประเทศไทยได้ติดสถิติการเข้า Facebook เป็นอันดับหนึ่งของโลกแล้ว เมื่อฟังแล้วก็รู้สึกว่าคนไทยก็ hi technology ไม่แพ้ชาติอื่นเลย แต่เมื่อมองอีกมุมหนึ่งกลับทำให้เห็นว่าคนไทยได้การตกเป็นทาสของโลก cyber มากขึ้นไปทุกขณะ เมื่อเทียบกับประเทศที่เป็นหนึ่งในความก้าวหน้าทาง technology อย่างญี่ปุ่นแล้ว การเรียนการสอนและการใช้ชีวิตของคนญี่ปุ่นกลับไม่หมกมุ่นกับโลก cyber เหมือนชาติอื่น สังเกตได้จากห้องเรียนที่แสนเรียบง่ายในโรงเรียนอนุบาลญี่ปุ่น ทั้งของรัฐบาลและเอกชน สิ่งที่อยู่ในห้องเรียนก็จะมีเปียโน 1 หลัง โทรทัศน์ 1 เครื่อง และเครื่องบันทึกแบบกระเป๋าหิ้ว 1 เครื่อง เท่านั้น สำหรับของเล่นเด็กก็มีเพียงกระดาษแข็ง กล่องบรรจุขนาดต่างๆ หนังสือพิมพ์ เชือกไนล่อน ตะเกียบไม้ และหนังสือจำนวนมาก เพื่อให้เด็กได้ขีดเขียน และตัดแปะได้ตามใจชอบ เป็นการเสริมพัฒนาจินตนาการให้เด็กได้มาก
     ทุกอย่างดูไม่ทันสมัย ไม่แพงหรู ขัดกับความเป็นเจ้าแห่งโลกเทคโนโลยีอย่างสิ้นเชิง เพราะคนญี่ปุ่นให้ความสำคัญกับการพัฒนาศักยภาพของเด็กมากกว่าการใช้ผลิตภัณฑ์สำเร็จรูป ซึ่งเด็กจะได้ประโยชน์ไปตลอดชีวิต
      ในวิชาอื่นๆ ก็เช่นเดียวกัน เช่นวิชาพละ ที่จะมีแค่อุปกรณ์ง่ายๆ แค่เบาะรอง และอุปกรณ์สำหรับเล่นกีฬาเท่านั้น เล่นม้ากระโดด เป็นต้น
      แม้กระเป๋าที่ต้องใช้ในโรงเรียนก็จะมีด้วยกันอีกหลายขนาด ใบเล็กไปจนถึงใบใหญ่หลายใบใส่ซ้อนกันมาหลายชั้นเลย ตั้งแต่กระเป๋าหนังสือ กระเป๋าเสื้อผ้าที่ยังไม่ใช้ กระเป๋าเสื้อผ้าที่ใช้แล้ว กระเป๋าเครื่องครัว กระเป๋ารองเท้า ดูแล้วยังน่าปวดหัว แต่สิ่งที่เค้าฝึกเด็กๆ ก็คือการให้เค้าได้รู้จักแยกแยะประเภทของใช้ต่างๆ ได้อย่างถูกต้อง วินัยเหล่านี้ทำให้คนญี่ปุ่นสามารถแยกขยะได้กันทุกครัวเรือน วันนี้ทิ้งขยะเปียก พรุ่งนี้ทิ้งขยะแห้ง วันมะรืนทิ้งขยะ Recycle ทุกวันนี้ทำให้ญี่ปุ่นเป็นเมืองสะอาด พร้อมกับเป็นประเทศที่เจริญก้าวหน้าของโลกได้

      สำหรับตอนต่อไปมาดูกันต่อว่าญี่ปุ่นเค้ามีการฝึกเด็กยังไงให้ มีทั้งระเบียบ วินัย ความอดทน เป็นเลิศได้ขนาดนี้

วันอาทิตย์ที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

การเลี้ยงลูก

    ปัจจุบันนี้พ่อแม่หลายคนให้ทีวีเลี้ยงลูก เพราะทำให้เค้าอยู่นิ่งได้นานๆ ละครทีวีสมัยนี้พูดจาเกรี้ยวกราด ทะเลาะตบตีกัน เนื้อหาก็ส่อแววล่วงเกินทางเพศ เด็กที่ดูทีวีมีผลเสียหลายอย่าง ตั้งแต่นำพฤติกรรมที่ได้เห็นมาใช้, ลูกแบ่งเวลาไม่เป็นเพราะเสียเวลาไปกับการดูทีวีมากไป, ลูกไม่ได้ออกกำลังกายขยับร่างกายตามวัย ทำให้ไขมันสะสมตามร่างกายได้ง่าย อ้วนง่าย เป็นต้น
     พ่อแม่ควรกำหนดให้เด็กได้ดูเรื่องที่เป็นประโยชน์และได้ดูเป็นเวลา แบ่งเวลาเล่นกับลูกเพื่อให้เค้าได้มีพัฒนาการการเคลื่อนไหว การสัมผัส แบ่งเวลาสำหรับการทำงานบ้าน การบ้าน ทบทวนบทเรียน และไม่ปล่อยให้ลูกนอนดึก การที่ลูกพักผ่อนไม่เพียงพอ หรือทำการบ้านไม่เสร็จ ทำให้ไม่อยากไปโรงเรียน เลยหาวิธีโกหกพ่อแม่ ปวดหัวบ้าง ปวดท้องบ้าง ถ้าพ่อแม่ตามลูกไม่ทันก็จะทำให้เสียนิสัยได้
      พ่อแม่ควรเลือกสื่อให้ลูกได้ดูควรเป็นเรื่องอยู่ในศีลธรรม มีสาระทั้งด้านความรู้ ศีลธรรม วัฒนธรรม อาชีพ ความเสียสละ ความเมตตากรุณา ไม่ควรเป็นเรื่องที่น่ากลัว ยั่วยุทางเพศ หรือการแสดงอารมณ์ที่เกรี้ยวกราดใส่กัน จองเวรกัน พ่อแม่ควรสรุปสื่อที่ได้ดูเพื่อให้เค้าได้รู้จักจับประเด็นเป็น ต่อไปก็ให้ลูกได้หัดสรุปให้พ่อแม่ได้ฟังบ้างเป็นฝึกให้เด็กฝึกพูด ฝึกประมวลความคิด และยังเป็นการแลกเปลี่ยนความรู้ซึ่งกันและกัน
      และสุดท้ายคุณพ่อคุณแม่ก็ควรเป็นแบบอย่างของการดูสื่อและการแบ่งเวลาให้ลูกได้เห็นเป็นตัวอย่าง ลูก จะได้เชื่อฟังคำสั่งสอน ถ้าพ่อแม่ไม่ได้ทำเป็นแบบอย่างแล้วจะห้ามลูก เค้าคงจะไม่ฟังเราแน่นอน

วันเสาร์ที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

การเลี้ยงลูกให้รักความสะอาด (ต่อ)

หลายคนมีคำถามว่า เอ? การฝึกลูกถึงขนาดนี้จะเป็นการฝืนเด็กเกินไปไหม จะอึดอัดไหม แล้วเค้าจะมีความสุขอย่างไร แล้วไม่เสียพัฒนาการเด็กเหรอค่ะ


คำตอบคือ ในช่วงแรกของการฝึกอาจจะรู้สึกเหนื่อยบ้าง ทั้งแม่และลูก แต่เมื่อทำบ่อยๆ เป็นประจำสม่ำเสมอ ตรงเวลา(ที่ถูกต้อง) ร่างกายจะถูกพัฒนาให้ทำไปตามธรรมชาิติ ตั้งแต่ระบบการย่อย ระบบการขับถ่าย เมื่อระบบในร่างกายสมบูรณ์แล้วจะทำให้เด็กมีความสุข ไม่อึดอัดจากการถ่ายไม่ออก หรืออาหารไม่ย่อย เป็นการพัฒนาทั้งทางร่างกายและจิตใจ


คำถามต่อไปว่า ก็ปัจจุบันเรามีผ้าอ้อมสำเร็จรูปแล้ว ทำไมต้องมาใช้ผ้าอ้อมแบบเก่าอีกละ เพราะเสียเวลาที่จะต้องทำมาหากิน ไม่ค่อยมีเวลาขนาดนั้น แล้วลูกก็ได้นอนนานๆ ด้วย


คำตอบคือ แม้ผ้าอ้อมสำเร็จรูปจะทำให้คุณพ่อคุณแม่ยุคใหม่มีความสะดวกสบายมากขึ้น แต่เมื่อคิดถึงค่าใช้จ่ายแล้วก็เป็นการประหยัดกว่า ผ้าอ้อม 1 แพ็ค สามารถใช้ได้ 3-4 เดือน แล้วก็เปลี่ยนตามขนาดอายุของลูกน้อย ซึ่งเมื่อเทียบราคากับผ้าอ้อมที่ต้องซื้อแล้วในระยะเวลาเดียวกัน ก็จะแพงกว่ามาก การประหยัดเงินส่วนนี้ได้แล้วสะสมเป็นค่าเล่าเรียนจะดีกว่า และที่สำคัญการใช้ผ้าอ้อมก็จะทำให้ลูกตื่นและนอนเป็นเวลา ขับถ่ายเป็นเวลา และยังเป็นการกระตุ้นการรับรู้สภาพแวดล้อมด้วย เราอาจเสียเวลาในการเลี้ยงลูกในช่วงขวบถึงสองขวบปีแรก แต่ทำให้เราได้ใกล้ชิด ได้ดูแลลูกน้อยอย่างเต็มที่ ดีกว่ามาเสียค่ารักษาพยาบาลต่างๆ ต่อไปในอนาคต


การเลี้ยงลูกให้รักความสะอาดต้องเริ่มฝึกตั้งแต่จากเรื่องใกล้ตัวของเค้าก่อนอย่างนี้ เมื่อเค้ารู้จักรักความสะอาดแล้ว (การเปลี่ยนผ้าอ้อมทุกครั้งหลังขับถ่าย) แล้วเด็กก็จะมีสุขภาพที่ดี อารมณ์แจ่มใส และรักในความสะอาดได้ค่ะ ขอเพียงคุณพ่อคุณแม่ทำอย่างสม่ำเสมอเป็นประจำให้เค้าได้สัมผัส ได้เห็น ได้ดู ได้รู้จัก เมื่อโตขึ้นมาอีกหน่อยก็ค่อยๆ ขยับไปตามพัฒนาการของเค้าค่ะ ไม่ต้องรีบร้อนอะไร

เลี้ยงลูกให้รู้จักรักษาความสะอาด



     สวัสดีค่ะ ชุมชน Blogger ทุกท่าน  ม๋วนดี๋ อยากจะขอเสนอเนื้อหา การเลี้ยงลูก โดยแนะนำการเลี้ยงลูกในรูปแบบวิเคราะห์และแนวทางการปลูกฝังนิสัย การฝึกฝนด้วยการปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอจะทำให้เกิดนิสัยที่ดี ทำให้ลูกเกิดความระเบียบ รักความสะอาด และรู้จักอดทน สามารถดูแลตัวเอง และช่วยเหลืองานครอบครัว ตลอดจนช่วยเหลือเป็นคนดีและคนเก่งของสังคมต่อไป ข้อมูลใน Blog นี้ ม๋วนดี๋ หวังว่าความรู้เหล่านี้อาจจะพอเป็นประโยชน์กับผู้อ่านบ้างเล็กๆ น้อย 
    สำหรับวันปฐมเริ่มนี้ ม๋วนดี๋ขอนำเสนอเรื่องการเลี้ยงลูกให้เป็นคนที่รักความสะอาด โดยเริ่มฝึกตั้งแต่เด็กแบเบาะ น่าสนใจไหมค่ะ ไปอ่านกันดูค่ะ
ฝึกการกินนม
ควรให้ทานเป็นเวลา และในปริมาณที่พอเหมาะพอสม ตามอายุ การทานนมแม่จะทำให้ลูกได้รับสารอาหารที่ครบถ้วน แม่สามารถให้นมลูกได้อย่างสม่ำเสมอ ได้ใกล้ชิดลูก ทำให้รู้จักลักษณะการกินของเค้า เวลาในการขับถ่ายก็จะเป็นปกติ ไม่ควรให้ขวดนมคาปากลูกจะทำให้กลายเป็นเด็กกินเก่ง และทำให้เสียสุขภาพฟันด้วย ฟันจะผุง่าย เป็นการรักษาความสะอาดช่องปากและฟันด้วยค่ะ
ฝึกรักษาความสะอาด
พ่อแม่ควรใช้ผ้าอ้อมในการเลี้ยงลูก ควรเปลี่ยนทุกครั้งที่ลูกขับถ่ายและทำความสะอาดทุกครั้ง แม้จะทำให้ต้องเสียเวลาในการต้องเปลี่ยนผ้าอ้อมบ่อยๆ แต่เป็นการฝึกให้เด็กรู้จักกับความสะอาดเมื่อถึงเวลาเปียกก็จะร้องเรียกให้พ่อแม่มาเปลี่ยนให้ พ่อแม่ท่านใดที่ไม่ใส่ใจเรื่องนี้หรือให้พี่เลี้ยงช่วยเลี้ยง นอกจากจะทำให้เด็กต้องนอนจมสิ่งขับถ่ายทำให้เสียสุขภาพแต่เด็กแล้ว ยังทำให้เด็กเสียนิสัยกลายเป็นเด็กขี้เกียจ และคุ้นชินกับความสกปรกไปเสียแล้ว
หลายคนมีคำถามว่า แล้วไม่เป็นการรบกวนเด็กในการนอนหลับพักผ่อนหรือค่ะ
คำตอบคือ จริงๆ แล้ว การที่ลูกได้ตื่นขึ้นมาบ่อยๆ ทุก ๆ 2-3 ชั่วโมง เป็นเรื่องปกติของเด็กอยู่แล้วที่เค้าจะต้องตื่นขึ้นมากินนมทุก 2-3 ชั่วโมง และเมื่อทานเสร็จก็ได้พักผ่อนและก็จะตื่นขึ้นมาเมื่อขับถ่าย หลังจากทำความสะอาดแล้วลูกก็หิวพอดี ไม่มัวแต่นอนหรือรอจนหิวแล้วจึงตื่น ทำให้ลูกกลายเป็นเด็กอารมณ์เสียง่ายด้วย
สำหรับวันนี้ขอจบเรื่องการเลี้ยงลูกตั้งแต่แบเบาะไว้เท่านี้ก่อนนะคะไว้คราวหน้ามาต่อเรื่องการเลี้ยงลูกให้มีความสะอาดในระดับเด็กเล็กค่ะ